แอสตร้าเซนเนก้า และ รัฐบาลไทย ร่วมลงนามในสัญญาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มอีก 60 ล้านโดสสำหรับการทยอยส่งมอบในปี 2565 เพื่อสนับสนุนแผนการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข
ตามข้อตกลงในสัญญาฉบับดังกล่าว แอสตร้าเซนเนก้าจะทำการจัดหาวัคซีนจำนวน 60 ล้านโดสให้แก่รัฐบาลไทยภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เพิ่มเติมจากข้อตกลงการจัดซื้อวัคซีนจำนวน 61 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยส่งมอบภายในปี 2564 โดยในปีนี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้ส่งมอบวัคซีนรวมแล้วทั้งสิ้นจำนวน 24.6 ล้านโดส ซึ่งรวมยอดวัคซีนที่ส่งมอบวัคซีนในเดือนกันยายนจำนวน 8 ล้านโดสแล้ว
ภายใต้สัญญาฉบับใหม่นี้ รัฐบาลไทยสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนจากวัคซีนรุ่นเดิมของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนรุ่นใหม่อย่าง AZD2816 ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ของประเทศไทยต่อไป ขณะนี้ AZD2816 ซึ่งเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยในเฟสที่ 2 และ 3 โดยคาดว่าวัคซีนรุ่นใหม่นี้จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์กลายพันธุ์หลัก ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการระบุกำหนดการส่งมอบวัคซีนรุ่นใหม่นี้ในลำดับต่อไป
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “สัญญาการจัดซื้อวัคซีนฉบับใหม่นี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของเราในการร่วมสนับสนุนรัฐบาลไทยในการลดการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในประเทศ และควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์เดลต้า เรามุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเรารู้สึกขอบคุณรัฐบาลไทยที่เชื่อมั่นในความร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้าเสมอมา”
แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรผู้ผลิตได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 กว่า 1.3 พันล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆ กว่า 170 ประเทศทั่วโลก โดย 2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ
นับตั้งแต่มีการเริ่มใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าครั้งแรกในช่วงต้นปี 2564 วัคซีนได้สร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการช่วยชีวิตผู้คนมากมายและป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล1
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เดิมเรียก AZD1222 ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท วัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง