ท่ามกลางการถาโถมของสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งมีทั้งเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้และบางเรื่องอยู่เหนือการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามามีบทบาทอย่างเข้มข้นของเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของสงครามการค้า หรือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นต้น ได้กลายเป็นโจทย์ของทุกบริษัทว่าจะมีการตั้งรับหรือวางแผนเชิงรุกอย่างไร เพื่อนำองค์กรก้าวผ่านกระแสดิสรัปชั่น และสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว
จากความท้าทายต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรต้องเร่งพัฒนาบริษัทให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งสำหรับ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างสรรค์โครงการคุณภาพจากความเข้าใจชีวิตเป็นระยะเวลา 50 ปี ได้เลือกที่จะเริ่มต้นจากการพัฒนา “คน” หรือ “พนักงาน” ให้มีศักยภาพ เพราะมองว่าพนักงานเป็นฟันเฟืองหลักของบริษัท และเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งต่อสินค้าที่ดีสู่ลูกค้า โดยได้นำแนวคิด Design Thinking เข้ามาเทรนนิ่งให้กับพนักงานในทุกระดับขององค์กร เพื่อเติมเต็มเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และเสริมกระบวนการคิดการทำงานให้ดีขึ้น
นายณพน เจนธรรมนุกูล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวคิด Design Thinking คือ กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาหรือโซลูชั่นใหม่ๆ ให้เหมาะกับการนำมาใช้สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างรอบด้าน เพราะเป็นการทำความเข้าใจ (Empathy) วิธีคิดและความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ซึ่งหากมีการปลูกฝังแนวคิดนี้ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรก็จะต่อยอดให้พนักงานเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน การดำเนินชีวิต และสามารถพัฒนาสินค้าที่ตรงใจลูกค้าได้ ส่งผลให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคใดก็ตาม
“ยกตัวอย่างเรื่องการออกแบบบ้าน สัมมากร อยากพัฒนาโครงการที่ทุกคนหลับสบาย หรือเรียกอีกอย่างว่า บ้านหลับสบาย ซึ่งเป็นบ้านที่ให้ความสุข ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของการอยู่ร่วมกัน อยู่ในชุมชนและสังคมที่ดี เราจึงนำแนวคิด Design Thinking มาใช้ในการออกแบบบ้าน โครงการ และบริการหลังการขาย ด้วยการคิดกันว่าความต้องการและปัญหาของลูกค้าในปัจจุบันคืออะไรบ้าง แล้วเข้าไปพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ถือได้ว่าสอดคล้องกับหลักการทำงานของ สัมมากรที่เน้นการออกแบบโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพราะธุรกิจเราเป็นการขายของให้กับผู้ใช้งาน (End User) เราจึงต้องเข้าใจก่อนว่าเขามีไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยอย่างไร ให้ความสำคัญกับอะไร ซึ่งหากทุกคนในบริษัทใช้ Design Thinking ก็สามารถเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ทำให้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างวิกฤตไวรัสโควิด-19 เราก็ยังคงสามารถประคองยอดขายได้ เพราะสินค้าของเราทำมาแล้วตอบโจทย์ลูกค้า”
นายณพน กล่าวว่า การระบาดของไวรัสในครั้งนี้ส่งผลกระทบกับตลาดโดยรวมอย่างมาก ทำให้แผนการขยายธุรกิจในปีนี้ต้องเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการเร่งสร้างการเติบโตให้กับพนักงานและองค์กร ด้วยการให้พนักงานหยิบยกปัญหาจากการทำงานที่พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ ทั้งของแผนกตัวเองหรือแผนกอื่น แล้วมาร่วมแก้ปัญหากัน พร้อมทั้งพัฒนาระบบที่เอื้อต่อการทำงาน เพื่อขับเคลื่อนการทำงานภายในองค์กรให้เดินหน้าอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่าย ซึ่งการเทรนนิ่งรูปแบบนี้เปรียบเหมือนกระบวนการสร้างให้พนักงานรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของบริษัทด้วยเช่นกัน เมื่อพวกเขารู้ว่าองค์กรมีปัญหาส่วนไหนก็จะได้ช่วยกันอุดรอยรั่วนั้น
“ถ้าทุกคนถูกหล่อหลอมด้วย Design Thinking แนวทางการแก้ปัญหาก็จะไม่ยึดติดกับแนวทางเดิม และกล้าหาหนทางใหม่ๆ ซึ่งเป็นการพัฒนามุมมองและความคิดให้มองไกลมากขึ้น ทำให้เวลาทำงานจะมีการเช็กตัวเองอยู่ตลอดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นดีแล้วหรือยัง มีประสิทธิภาพมากที่สุดหรือไม่ หรือมีวิธีไหนอีกบ้างที่จะพัฒนาการทำงานให้มีศักยภาพ คือเมื่อพนักงานเกิดความตระหนักแล้วก็จะหาเครื่องมือใหม่ๆ มาเสริมการทำงานของเขา ซึ่งผมมองว่ารูปแบบการทำงานอย่างนี้จะเป็นกลไกที่ทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน”
ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิด Design Thinking ได้เข้ามาช่วยเติมเต็มเรื่องการสื่อสารภายในองค์กร เพราะพนักงานจะเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อนร่วมงาน ส่งผลต่อกระบวนการส่งต่องานที่เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีอุปสรรค โดยหนึ่งในกิจกรรม Design Thinking ที่สัมมากรนำมาใช้ เป็นโปรเจ็กต์ออกแบบออฟฟิศใหม่ ด้วยการแบ่งพนักงานเป็นทีม แล้วให้ไปสัมภาษณ์เพื่อนแต่ละแผนกว่ามีความต้องการใช้งานหรือมีปัญหาอะไรในการทำงานบ้าง หลังจากนั้นกลับมาออกแบบ เป็นห้องทำงานในสไตล์ที่คิดว่าตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งบริษัทจะนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้ไปใช้สำหรับการออกแบบออฟฟิศใหม่ด้วย
“สัมมากรมีแผนจะปรับปรุงออฟฟิศใหม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจ เพราะเรามองว่าถ้าหากได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงานใหม่จะกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกแอคทีฟ และช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังเป็นการสร้าง Ecosystem ให้พนักงานได้ช่วยกันคิดค้นสิ่งใหม่ๆ สามารถดึงทุก Pain Point ของลูกค้าออกมา และสร้างสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดรับกับ Positioning ของสัมมากรในการเป็นแบรนด์ที่สร้างบ้านจากความเข้าใจชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริง”
โดย บมจ.สัมมากร ได้มองภาพการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปี 2563 ว่าน่าจะเป็นไปตามที่วางไว้ ซึ่งจากการประเมินความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) ในตลาด มองว่าหลายคนมีความพร้อมและวางแผนที่จะซื้อบ้านไว้อยู่แล้ว อีกทั้งสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้คนต้องทำงานจากบ้าน (Work from Home) และจะเป็นรูปแบบการทำงานที่เห็นชัดมากขึ้นในอนาคต ทำให้คนต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของการอยู่คนเดียว หรือพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่ร่วมกัน ตลอดจนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงานด้วย ดังนั้น “บ้าน” จึงเป็นคำตอบของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งบริษัทมีหลายโครงการที่พร้อมให้ราคาที่คุ้มค่ากับลูกค้า รวมถึงได้วางแผนไว้ว่าโครงการใหม่ๆ ที่จะออกมานั้นจะเน้นเป็นโครงการแนวราบ เพราะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน บมจ.สัมมากร มีโครงการเปิดขายอยู่ 9 โครงการ คือ บ้านเดี่ยว ได้แก่ สัมมากร ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ, สัมมากร ชัยพฤกษ์-วงแหวน 2, สัมมากร รังสิต คลอง 7 (โซน 4), สัมมากร รังสิต คลอง 7 (ไพร์ม-7), ทาวน์โฮม ได้แก่ สัมมากร อเวนิว รามอินทรา-วงแหวน, สัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน, สัมมกร อเวนิว สุวรรณภูมิ, คอนโดมิเนียม ได้แก่ S9 Condominium และ โฮมออฟฟิศ ได้แก่ สัมมากร Office Park โดยตลอดปี 2563 ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,700 ล้านบาท