กลุ่มอลิอันซ์ ประเทศเยอรมนี ได้รับการจัดอันดับจากสถาบันแบรนด์ไฟแนนซ์ (Brand Finance) ให้เป็นบริษัทประกันระดับโลกที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดเป็นอันดับที่สองของโลก รองจากแบรนด์ผิงอัน อีกทั้งยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 7.5% เมื่อเทียบกับมูลค่าแบรนด์ในปี 2562
ปัจจุบัน แบรนด์อลิอันซ์ มีมูลค่า 24,838 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.7 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 23,105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.2 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 7.5% จากปี 2562 ในการวัดมูลค่าโดยรวมของแบรนด์จาก Brand Finance ที่ได้ทำการประเมินความแข็งแกร่งของแบรนด์โดยใช้การวัดผลเชิงดุลยภาพที่มีตัวชี้วัดด้านการลงทุนด้านการตลาด ส่วนของผู้ถือหุ้น และผลประกอบการของบริษัท
กลุ่มอลิอันซ์ เป็นหนึ่งในบริษัทประกันและบริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำของโลก มีลูกค้ารายบุคคลและลูกค้าองค์กรกว่า 100 ล้านรายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก อลิอันซ์มีผลิตภัณฑ์ประกันส่วนบุคคลและประกันสำหรับบริษัทหลากหลายประเภท ตั้งแต่ประกันประกันภัยทรัพย์สิน ประกันชีวิตและสุขภาพ รวมถึงมีบริการให้ความช่วยเหลือแก่ประกันภัยสินเชื่อทางการค้าและประกันภัยภาคธุรกิจ
นอกจากนี้อลิอันซ์ยังเป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนมากที่สุดในโลก โดยบริหารจัดการเงินลงทุนกว่า 7.4 แสนล้านยูโร (ประมาณ 26 ล้านล้านบาท) ให้กับลูกค้าประกันของอลิอันซ์ PIMCO และ Allianz Global Investors ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของอลิอันซ์ บริหารจัดการสินทรัพย์ของบริษัทอื่นมูลค่าเกือบ 1.6 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 56.22 ล้านล้านบาท) นอกจากนั้น อลิอันซ์ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Index)ในกลุ่มธุรกิจประกันถึงสองปีซ้อน (2017-2018) ในแง่ของการบุคลากร กลุ่มอลิอันซ์มีพนักงานทั่วโลกกว่า 147,000 คนสร้างรายได้รวมให้แก่กลุ่มบริษัทฯ ถึง 1.42 แสนล้านยูโร (ประมาณ 4.99 ล้านล้านบาท) คิดเป็นกำไร 1.19 หมื่นล้านยูโร (หรือประมาณ 4.18 แสนล้าน บาท) ในปี 2562
Brand Finance เป็นบริษัทให้คำปรึกษาอิสระระดับโลกด้านมูลค่าแบรนด์ โดยมีสำนักงานในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก Brand Finance ช่วยลดช่องว่างระหว่างการตลาดและการเงินโดยประเมินมูลค่าของแบรนด์ออกมาเป็นตัวเลข ในช่วงการระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดย Brand Finance ได้ทำการประเมินผลกระทบของโรคระบาด โดยเป็นผลกระทบต่อมูลค่าสุทธิของกิจการเทียบกับมูลค่าฯ ณ วันที่ 1 ม.ค. 2563 Brand Finance ประเมินผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นกับมูลค่าแบรนด์ในแต่ละอุตสาหกรรม โดยแบ่งอุตสาหกรรมออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อย (มูลค่าแบรนด์ที่สูญเสีย 0%) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลาง (มูลค่าแบรนด์ที่สูญเสียน้อยกว่า 10%) และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาก (มูลค่าแบรนด์ที่สูญเสียน้อยกว่า 20%) อ้างอิงกับระดับการสูญเสียมูลค่าสุทธิของกิจการในแต่ละอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2563