การเคหะแห่งชาติ จัดใหญ่ “Big Cleaning Day” ฟื้นฟูอาคารเช่าหาดใหญ่ พร้อมดูแลจิตใจชาวชุมชน   •   ผว.กคช. จับมือภาคเอกชน ลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบถุงปันสุข-น้ำดื่ม   •   ผว.กคช. ลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบถุงปันสุขช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย   •   การเคหะแห่งชาติ ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตชาวหาดใหญ่ที่ประสบอุทกภัย   •   เริ่มแล้ว Cat Expo Thailand 2025 วันแรก ‘ทาสแมว’ แห่ร่วมงานคึกคัก คาดเม็ดเงินสะพัด 120 ล้านบาท!   •   คีย์ อินโนเวธ ผสานพลังเยาวชน อัสสัมชัญ บางรัก มอบนวัตกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแก่ กอ.รมน. สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนในพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วมทั่วประเทศ   •   ธ.ก.ส. เสิร์ฟโปรโมชันพิเศษมากมาย บุก Thailand Smart Money กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัว Art Toy ชุด Agri Animal ตัว Secret   •   กรุงเทพประกันภัย ครองอันดับความน่าเชื่อถือ A- (Stable) จาก S&P อย่างต่อเนื่อง   •   TOA ไม่ทิ้งกัน รวมพลัง ‘ทีโอเอ อาสา’ เดินหน้าฟื้นฟูชาวใต้หลังน้ำลด ส่งมอบถุงยังชีพ – สิ่งของบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้เต็มสูบ   •   เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “The Digital Insurance APAC 2025 – AI Initiative of the Year” จากผลงาน Chompoo Chatbot จุดประกายวิสัยทัศน์องค์กรแห่งอนาคตด้วยพลังของ AI   •   ไทยกรุ๊ปฯ จัดงาน A ROOT by Thai Group รีเฟรชกายใจ ส่งท้ายปี เติมพลังสุขรับปีใหม่A   •   อลิอันซ์ อยุธยา ส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ พร้อมทั้งดูแลลูกค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิด   •   มูลนิธิกรุงศรี สนับสนุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ร่วมสร้างรอยยิ้มใหม่ให้กับเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่   •   ออมสิน น้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวงรัชกาลที่ 9   •   GC ประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดใหม่ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เสริมแกร่งโครงสร้างเงินทุนระยะยาว รองรับการเติบโตธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ
spot_img
spot_img

4Quarter.co

spot_img
การเคหะแห่งชาติ จัดใหญ่ “Big Cleaning Day” ฟื้นฟูอาคารเช่าหาดใหญ่ พร้อมดูแลจิตใจชาวชุมชน   •   ผว.กคช. จับมือภาคเอกชน ลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบถุงปันสุข-น้ำดื่ม   •   ผว.กคช. ลงพื้นที่หาดใหญ่ มอบถุงปันสุขช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย   •   การเคหะแห่งชาติ ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตชาวหาดใหญ่ที่ประสบอุทกภัย   •   เริ่มแล้ว Cat Expo Thailand 2025 วันแรก ‘ทาสแมว’ แห่ร่วมงานคึกคัก คาดเม็ดเงินสะพัด 120 ล้านบาท!   •   คีย์ อินโนเวธ ผสานพลังเยาวชน อัสสัมชัญ บางรัก มอบนวัตกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแก่ กอ.รมน. สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนในพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วมทั่วประเทศ   •   ธ.ก.ส. เสิร์ฟโปรโมชันพิเศษมากมาย บุก Thailand Smart Money กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัว Art Toy ชุด Agri Animal ตัว Secret   •   กรุงเทพประกันภัย ครองอันดับความน่าเชื่อถือ A- (Stable) จาก S&P อย่างต่อเนื่อง   •   TOA ไม่ทิ้งกัน รวมพลัง ‘ทีโอเอ อาสา’ เดินหน้าฟื้นฟูชาวใต้หลังน้ำลด ส่งมอบถุงยังชีพ – สิ่งของบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้เต็มสูบ   •   เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “The Digital Insurance APAC 2025 – AI Initiative of the Year” จากผลงาน Chompoo Chatbot จุดประกายวิสัยทัศน์องค์กรแห่งอนาคตด้วยพลังของ AI   •   ไทยกรุ๊ปฯ จัดงาน A ROOT by Thai Group รีเฟรชกายใจ ส่งท้ายปี เติมพลังสุขรับปีใหม่A   •   อลิอันซ์ อยุธยา ส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ พร้อมทั้งดูแลลูกค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิด   •   มูลนิธิกรุงศรี สนับสนุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ร่วมสร้างรอยยิ้มใหม่ให้กับเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่   •   ออมสิน น้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวงรัชกาลที่ 9   •   GC ประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดใหม่ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เสริมแกร่งโครงสร้างเงินทุนระยะยาว รองรับการเติบโตธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ
spot_img

SCB WEALTH แนะจับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงต้องติดตามช่วงครึ่งหลังปี ’67 มองยุโรป-เกาหลีใต้-เวียดนาม-จีน H-shareและไทย Valuation ถูกน่าสะสม

SCB WEALTH เดินหน้าจัดงานสัมมนา Exclusive Investment Talk ในหัวข้อ “รู้ทันเศรษฐกิจโลก จัดสรรความมั่งคั่งแบบมีเป้าหมาย” ให้แก่กลุ่มลูกค้า High Net Worth Individuals (HNWIs) โดยมองว่า มี5 ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการจัดพอร์ตลงทุนในครึ่งหลังปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในช่วงที่เหลือของปี 2567 อัตราเงินเฟ้อชะลอลง เศรษฐกิจยุโรป หลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ด้านเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามเป้าที่ 5% ส่วนไทย ถูกปรับลดประมาณการ GDP ในปีนี้ลงอย่างต่อเนื่อง ตามการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่ชะลอตัว คาดเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ ช่วงเดือน ก.ย. และ ธ.ค.รวม 50 bps. ด้านสินทรัพย์ลงทุน นับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 31 พ.ค. 2567 ทองคำ ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 12.8% หุ้นสหรัฐฯ 10.6% น้ำมัน WTI และ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (ไม่รวมหุ้นสหรัฐฯ) 7.5% และหุ้นตลาดเกิดใหม่ 3.5% การจัดพอร์ตหากรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะแบ่งเงิน 75-85% ไว้ในพอร์ตหลัก กระจายลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ตลาดหุ้นที่มีพื้นฐานดี ทั้งในตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งสินทรัพย์ทางเลือก เช่น REITs และทองคำ ส่วนอีก 15-25% แบ่งลงทุนในตลาดหุ้นที่เห็นโอกาสในการสร้างผลแทบแทนในช่วงเวลานั้น ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เวียดนาม จีน H-Share ยุโรป และไทย จากValuation ค่อนข้างถูก และคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะขยายตัวดีขึ้น

นางสาวเกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยในงานสัมมนา Exclusive Investment Talk ภายใต้หัวข้อ “รู้ทันเศรษฐกิจโลก จัดสรรความมั่งคั่ง แบบมีเป้าหมาย” ที่จัดขึ้นให้แก่กลุ่มลูกค้า High Net Worth Individuals (HNWIs) ว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มี 5 ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อพอร์ตลงทุน ได้แก่ 1) ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจขยายตัวในอัตราชะลอลงมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด 2) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) 3) ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีน 4) ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และ 5) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดย SCB CIO มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลก เกือบทุกประเทศถูกปรับประมาณการดีขึ้น แต่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าอดีต ขณะที่ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มปรับลดลง จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วนำไปสู่การขึ้นภาษีทุกสินค้านำเข้าจากจีนอย่างน้อย 60% และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกที่ 10% จะส่งผลกดดันโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ผ่านการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกที่จะแย่ลง

ทั้งนี้ มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในช่วงที่เหลือของปี 2567 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอลง แต่ยังปรับลดลงค่อนข้างช้า ด้านตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ส่วนเศรษฐกิจยุโรป ได้หลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ด้านเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามเป้าที่ 5% โดยในระยะสั้นได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นรอบใหม่ แต่ในระยะกลาง ยังถูกกดดันจากการชะลอตัวเชิงโครงสร้างของภาคอสังหาฯ และการกีดกันทางด้านการค้าที่รุนแรงมากขึ้น สำหรับเศรษฐกิจไทย ถูกนักเศรษฐศาสตร์ปรับลดประมาณการ GDP ในปีนี้ลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปี ตามการส่งออกสินค้าและการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่ชะลอตัว แม้ว่าจะมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวก็ตาม

ส่วนความไม่แน่นอนนโยบายการเงินของเฟด มีผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐฯ 10 ปี โดยก่อนหน้านี้ Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น แตะระดับสูงสุดนับจากต้นปี (YTD) ที่ 4.71% แต่หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า ยังไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความกังวลข้อพิพาททางการค้ากับจีน ทำให้ Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลง มาอยู่ที่ 4.34% แต่เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาดี ขณะที่ สมาชิกเฟด ยังคงท่าทีระมัดระวังต่อการลดดอกเบี้ยนโยบาย และรายงานการประชุมฯ รอบล่าสุดที่ค่อนข้างมีมุมมองการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า เฟดจะเลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปหรือไม่ ส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ปรับขึ้นอีกครั้ง โดย ณ วันที่ 31 พ.ค. 2567 อยู่ที่ 4.50%

อย่างไรก็ดี มองว่า เฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง รวม 50 bps. ในปีนี้ ในช่วงเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ขณะที่ตลาดคาดเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งเช่นกัน ทำให้หากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยน้อยหรือช้ากว่าที่ตลาดคาด จะส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาด เนื่องจาก ต้นทุนการระดมทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะยังอยู่ในระดับสูงต่อ และกระทบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่นๆ คาดว่า ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. (ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2567 ธนาคารกลางยุโรป ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปีตามคาดการณ์) เร็วกว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่ที่คาดว่าจะเลื่อนการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปเป็นไตรมาสที่ 3-4/2567 ในส่วนของไทย คาดว่า การลดดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงไตรมาส 4/2567 ขณะที่ ประเทศที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ ญี่ปุ่น ซึ่งได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว และมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ช่วงไตรมาส 3/2567 จากเงินเฟ้อที่เริ่มกลับมา และอินโดนีเซีย ได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อเดือน เม.ย.จากเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่ามาก

ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีน ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่งประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางรายกับจีน มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พุ่งเป้าที่สินค้าสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า เหล็ก และ อลูมิเนียม โดย SCB CIO คาดว่าผลลบโดยตรงที่เกิดกับจีนยังมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกสินค้าเหล่านี้ คิดเป็น 0.1% ของ GDP จีน อีกทั้ง บริษัทจีนทยอยรับมือลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ผ่านการปรับห่วงโซ่อุปทาน ปรับช่องทางการค้า และมีแนวโน้มกระจายความเสี่ยงทางการค้าอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีน มีแนวโน้มสูงขึ้นหลังจากนี้ จากประเด็นความไม่แน่นอนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2567 อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ทำให้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายระหว่างสหรัฐฯ – จีน ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ทรัมป์ มีแผนจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการ อย่างน้อย 60% ซึ่งจะกระทบต่อจีน คิดเป็น 0.8% ของ GDP จีน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทางการจีนจะยอมปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าอย่างมีนัย เพื่อลดผลกระทบกำแพงภาษี

นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ล่าสุด คือ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่ก่อนหน้านี้อิหร่านตอบโต้อิสราเอลโดยตรงเป็นครั้งแรก ทำให้ทั่วโลกกังวลว่าจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ แต่สุดท้าย สถานการณ์ก็ไม่ได้รุนแรงอย่างที่กังวล เพียงแต่สงครามยังไม่จบ ขณะที่ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงยืดเยื้อ ทั้งนี้ จากสถิติในอดีต ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง จะกระทบต่อตลาดหุ้นโลกให้ปรับลดลงอย่างมากในกรณีที่ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นมาก จนส่งผลกระทบไปยังอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย โดยหากพิจารณาจาก ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ปี 2533 – 2567 พบว่า ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบเล็กน้อยในช่วง 1 สัปดาห์หลังสงคราม และเมื่อสงครามผ่านพ้นไปแล้ว หากสงครามอยู่ในวงจำกัด ตลาดหุ้นจะกลับมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกได้ ในช่วงตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ขณะที่ สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และราคาน้ำมัน จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก โดยเฉพาะในช่วงสั้นที่มีความกังวลบนความขัดแย้ง

น.ส.เกษรี กล่าวว่า เมื่อพิจารณา ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 31 พ.ค. 2567 ทองคำ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด อยู่ที่ 12.8% ตามด้วย หุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 10.6% น้ำมัน WTI และ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (ไม่รวมหุ้นสหรัฐฯ) อยู่ที่ 7.5% และหุ้นตลาดเกิดใหม่ อยู่ที่ 3.5% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาควบคู่กับสถิติในอดีต ไม่มีสินทรัพย์ประเภทใดให้ผลตอบแทนโดดเด่นติดต่อกันทุกปี โดยสามารถให้ผลตอบแทนติดลบหรือเป็นบวกได้ในบางปี ดังนั้น หากต้องการรับมือความเสี่ยงที่มีผลต่อการลงทุน เราแนะนำให้ผู้ลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Asset Allocation) ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสรับผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอในระยะยาว

สำหรับ การจัดพอร์ตโดยการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Asset Allocation) ในกรณีรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง ผู้ลงทุนสามารถจัดแบ่งเงินส่วนใหญ่ 75-85% ไว้ในพอร์ตหลักสำหรับการลงทุนระยะยาว (Core Portfolio) โดยควรมีการสำรองสภาพคล่อง พร้อมกระจายเงินลงทุนทั้งในตราสารหนี้ เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตลงทุน เพราะจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ในช่วง 6 เดือน และ 12 เดือน หลังเฟด หยุดขึ้นดอกเบี้ย และหลังเฟด ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนรวมเป็นบวก รวมถึงลงทุนในตลาดหุ้นที่มีพื้นฐานดี มี Valuation ที่เหมาะสม ทั้งในตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวมถึง สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เพื่อกระจายความเสี่ยง ให้พอร์ตมีความมั่งคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ เงินอีกส่วน 15-25% สามารถแบ่งไปลงทุนผ่าน พอร์ตเสริมโอกาส (Opportunistic Portfolio) ในตลาดหุ้นที่เห็นโอกาสในช่วงเวลานั้นได้ ซึ่งในปัจจุบัน SCB CIO มองเห็นโอกาสอยู่ใน 5 ตลาด ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นจีน H-Share ตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นไทย ที่ Valuation ค่อนข้างถูก ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS growth) ของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในปี 2567 จะขยายตัวดีขึ้น

คำเตือน
•การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
•สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้ "คุกกี้” เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน โดยใช้คุกกี้เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของท่าน
รายละเอียดเพิ่มเติม: นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) นโยบายการใช้คุกกี้ (Cookies Policy), ตั้งค่าคุกกี้ (Cookies Settings)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ วิเคราะห์การเข้าชม และนำเสนอโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของท่าน สามารถตั้งค่าความยินยอมโดย เปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่จำเป็นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ ทำให้ท่านสามารถใช้งานและเรียกดูเว็บไซต์ได้ตามปกติ ท่านไม่สามารถปิดการใช้งานคุกกี้เหล่านี้ในระบบของเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เว็บไซต์สามารถจดจำตัวเลือกหรือการตั้งค่าต่างๆ ที่ท่านได้เลือกไว้ เช่น ภาษา ภูมิภาค หรือขนาดตัวอักษร เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ท่านไม่ต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่เข้าใช้งานเว็บไซต์
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประสิทธิภาพ

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เช่น จำนวนผู้เข้าชม แหล่งที่มา หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์สำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมนั้นจะไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้ถูกตั้งค่าโดยพันธมิตรด้านโฆษณา เพื่อสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับความสนใจของท่านจากการเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ สำหรับแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของท่านให้มากที่สุดทั้งบนเว็บไซต์ของเราและเว็บไซต์อื่นๆ หากไม่ยินยอม โฆษณาที่แสดงผลจะเป็นแบบทั่วไปซึ่งอาจไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

Save