BEM เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11% โดยจำนวนผู้โดยสารและรายได้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบรางครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงคาดว่าปีนี้กำไรบริษัทฯ ทะลุเกินเป้า แนวโน้มอนาคตสดใสเพราะสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะมาเสริมความแข็งแรงสร้าง New S-Curve ให้ BEM
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ว่า จากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาพื้นที่และการจัดกิจกรรมต่างๆ ตามสถานที่รอบเส้นทางรถไฟฟ้า รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบรางครอบคลุมทั้งกรุงเทพและปริมณฑล ส่งผลบวกให้รถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินซึ่งเป็นสายวงกลม มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ BEM มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2567 จำนวน 1,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 102 ล้านบาท คิดเป็น 11% โดยรายได้จากธุรกิจหลักมีจำนวน 4,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116 ล้านบาท หรือ 3% ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจทางพิเศษ จำนวน 2,114 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจระบบรางหรือรถไฟฟ้า MRT จำนวน 1,603 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ มีรายได้จำนวน 306 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงานแล้วเมื่อ 31 กรกฎาคม 2567 โดยแผนกำหนดแล้วเสร็จสำหรับส่วนตะวันออกจากศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในการให้บริการเดินรถ ภายใน 3 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ BEM มั่นใจว่าจะเปิดให้บริการในส่วนนี้ได้ก่อนกำหนดแน่นอน และส่วนตะวันตกจากบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ กำหนดแล้วเสร็จภายใน 6 ปี ซึ่งการได้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในครั้งนี้ จะเป็น New S-Curve ช่วยเสริมให้ธุรกิจของ BEM เติบโตได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืน รวมทั้งช่วยหนุนปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ BEM จะยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจอย่างเข้มแข็ง ด้วยความพร้อมและความมุ่งมั่นในการส่งมอบการบริการคมนาคมขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มและประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน