
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ โดยมีการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่สองประเภท ได้แก่ Universal Tariffs: การเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% กับสินค้าทุกประเทศ Reciprocal Tariffs: การเก็บภาษีเพิ่มเติมกับ 60 ประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยใช้อัตราสูงสุดถึง 50%
จากการวิเคราะห์ของ SCB EIC คาดว่าอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงของสหรัฐฯ (Effective Tariff Rate) อาจเพิ่มขึ้นถึง 18–22% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองและเศรษฐกิจการค้าโลกโดยรวม สำหรับประเทศไทยนั้นได้รับผลกระทบอย่างหนัก จัดอยู่ใน อันดับที่ 20 จาก 185 ประเทศ ที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสูงที่สุด และอยู่ใน อันดับที่ 9 ของเอเชีย โดยถูกตั้งกำแพงภาษีรวมสูงถึง 36% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 16% และค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 21%
สาเหตุหลักที่ไทยโดนภาษีในระดับสูง คือ ● สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยในระดับสูง ● ไทยมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เฉลี่ย 9.8% ซึ่งสูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยที่เฉลี่ย 3.3% ● ยังมีประเด็นอื่น ๆ เช่น การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี, การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และสิทธิแรงงาน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 1. ผลกระทบทางตรง สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยปี 2024 ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 18.3% ของการส่งออกทั้งหมด หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวและมีต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวจากสองปัจจัยหลัก • Substitution Effect: ประเทศอื่นที่ไม่ได้ถูกเก็บภาษีสูงจะสามารถส่งสินค้าไปสหรัฐฯ แทนไทย • Income Effect: เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัว ทำให้มีการนำเข้าลดลงโดยรวมสินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง และโทรศัพท์มือถือ มีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง จึงอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 2. ผลกระทบทางอ้อม นอกจากสหรัฐฯ ไทยยังพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าอื่นที่โดนขึ้นภาษีเช่นกัน เช่น จีน ญี่ปุ่น และอียู ซึ่งการชะลอตัวของประเทศเหล่านี้จะกระทบความต้องการสินค้าของไทยผ่าน • ความต้องการสินค้าขั้นปลายที่ลดลง • การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า • การชะลอตัวของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพบว่า นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 เป็นความท้าทายใหญ่ที่กระทบเศรษฐกิจไทยและไม่อาจมองข้าม ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและดำเนินการเชิงรุก ทั้งในด้านนโยบายและเชิงกลยุทธ์ ดังนี้
1. เร่งเจรจาแบบ Targeted Diplomacy กับสหรัฐฯ เป้าหมาย: ลดแรงกดดันจาก Reciprocal Tariffs โดยเน้นจุดที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม เช่น เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร พลังงาน เทคโนโลยีทบทวนมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ เช่น พิจารณาผ่อนคลายกฎเกณฑ์ SPS, TBT เร่งปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ให้เท่าทันความคาดหวังของ USTR รวมถึงประเด็นสิทธิแรงงานที่ไทยเคยโดนสหรัฐฯ ตำหนิในรายงาน Special 301 เสนอแผนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ-ความมั่นคง เช่น การลงทุนร่วม, Supply Chain Security เพื่อเชื่อมโยงผลประโยชน์
2. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-การค้า ลดพึ่งพาสหรัฐฯ กระจายตลาดส่งออก (Market Diversification): เน้นตลาดที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐฯ เช่น ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, อินเดีย, ละตินอเมริกาใช้ FTA เดิม เช่น RCEP, CPTPP ให้เต็มศักยภาพพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อลดความเปราะบาง เช่น ดิจิทัล, BCG, สินค้าอาหารนวัตกรรมสนับสนุนให้เอกชนไทยลงทุนในประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษ GSP หรือ USMCA เพื่อใช้เป็นฐานผลิตส่งกลับสหรัฐฯ
3. เร่งวางกลไกรองรับผลกระทบในประเทศ จัดตั้งกองทุนชดเชยภาคการผลิต/ผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงส่งเสริมการปรับโครงสร้างต้นทุนภาคอุตสาหกรรม เช่น ผ่านเทคโนโลยี, Automation เพื่อลดราคาสินค้าและแข่งขันได้แม้ภาษีสูงออกมาตรการกระตุ้นการลงทุน เพื่อลดภาวะ Wait & See เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล, Fast-track EIA
4. ใช้เวทีพหุภาคีและความร่วมมือในภูมิภาคเป็นกลไกต่อรอง ใช้เวที ASEAN, APEC, WTO กดดันนโยบายกีดกันการค้าแบบ Unilateralร่วมกับประเทศที่ได้รับผลกระทบสูง เช่น อาเซียน จีน ญี่ปุ่น สร้างพันธมิตรเพื่อต่อรอง
ดังกล่าวนี้จะสามารถลดแรงกระแทกจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้ในระดับหนึ่ง และยังเป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างการค้าและเศรษฐกิจไทยให้ทันต่อบริบทโลกใหม่ได้อีกด้วย