ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของภาคธุรกิจและประชาชน โดยที่ผ่านมาได้ให้การรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติในปี 2558 เพื่อร่วมกันพัฒนาโลกให้มีความสมดุลและยั่งยืน และให้สัตยาบันต่อความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปีต่อมา ซึ่งให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 จากกรณีฐาน (Business-as-usual) ภายในปี 2573
ภาคการเงินในฐานะที่เป็นตัวกลางในการจัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของประเทศ โดยปัจจุบันหน่วยงานในภาคการเงินได้เริ่มนำแนวคิดการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) มาผนวกในกลยุทธ์การทำธุรกิจซึ่งคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในทุกกระบวนการอย่างจริงจัง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ หน่วยงานกำกับดูแลในภาคการเงินได้จัดตั้งคณะทำงานด้านความยั่งยืนในภาคการเงิน (Working Group on Sustainable Finance) ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันกำหนดทิศทางการดำเนินการด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนในภาคการเงินไทยที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน
18 สิงหาคม 2564 Working Group on Sustainable Finance ได้ร่วมกันเผยแพร่แนวทางการพัฒนาภาคการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Initiatives for Thailand) ซึ่งเป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางและกรอบการดำเนินงานด้าน sustainable finance ในภาคการเงินไทย
ทั้งนี้โดยได้ระบุแนวทางขับเคลื่อนสำคัญ 5 ข้อ รายละเอียดดังนี้
1) Developing a Practical Taxonomy: การกำหนดนิยามและจัดหมวดหมู่โครงการหรือกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน (Taxonomy) เพื่อให้ผู้กำกับดูแลใช้อ้างอิงในการออกนโยบายสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืนให้สอดคล้องกัน และให้ผู้ประกอบธุรกิจการเงินนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืน
2) Improving the Data Environment: การเปิดเผยข้อมูล ESG ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการติดตาม วิเคราะห์ และตัดสินใจทางการเงิน รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์และนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ อีกทั้ง สามารถจำแนกประเภทการลงทุนและวัดความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เกิดจากประเด็นด้าน ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสในการกำกับและตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ
3) Implementing Effective Incentives: การสร้างมาตรการจูงใจ (Incentives) เพื่อกระตุ้นให้เกิดตลาดและการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน โดยส่งเสริมให้ทั้งฝั่งผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีด้วยความเสี่ยงที่ต่ำลง
4) Creating Demand-led Products and Services: การสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ผู้เล่นในภาคการเงินสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ในขณะที่ปรับลดกฎเกณฑ์เพื่อลดภาระสำหรับการออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่
5) Building Human Capital: การสร้างทรัพยากรบุคคลในภาคการเงินที่มีคุณภาพและมีองค์ความรู้ในการผลักดันงานด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
การดำเนินงานทั้ง 5 ข้อดังกล่าว จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ภาคการเงินมีระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ที่เอื้อให้การจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนและสร้างประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน
แม้ปัจจุบัน การรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการเป็นลำดับแรก แต่ประเด็น ESG เป็นเรื่องที่เราไม่ควรละเลย เพราะจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยเมื่อภาคการเงินมีศักยภาพและความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่คำนึงถึงประเด็น ESG โดยเฉพาะปัญหา Climate change ได้อย่างตรงจุดด้วยต้นทุนที่เหมาะสม การระดมทุนและการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อพัฒนาโครงการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลให้เศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ Sustainable Finance Initiatives for Thailand ได้ที่ www.oic.or.th