บริษัท วินตัน แอสโซซิเอส จำกัด (อังกฤษ) เป็นที่ปรึกษากองทุน Private Equity ในต่างประเทศ และ Co Advisor กับ กลต. เอกชน (Private Regulator) ได้แก่ NOMAD (Nominated Advisor) ใน AIM,LSE (London Stock Exchange), Sponsor ใน Catalist, SGX (Singapore Exchange) และ บลจ.เรนเนสซานซ์ ตั้งโดย มูลนิธิรวมพัฒน์ จัดตั้ง “กองทุนส่วนบุคคลลงทุนในกองทุนร่วมส่วนทุนที่มีกองย่อยของธุรกิจพัฒนาบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมูบ้าน (Private Fund Feeder to Private Equity Fund for A Sector of Developing Village Network Blockchain)” เพื่อเป็นกลไกในการรวบรวมและบริหารจัดการเงินลงทุนมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท
โดย บลจ.เรนเนสซานซ์ ได้รับความเชื่อมั่นจาก มูลนิธิรวมพัฒน์ ให้เป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลในการบริหารจัดการเงินลงทุนมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษในการพัฒนานวัตกรรมบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมู่บ้าน ฟื้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ทุกบ้านอสังหาริมทรัพย์พร้อมใช้กว่า 4,000 ล้านบาท สร้างบล็อกเชนเชื่อมชุมชนเมืองสู่หมู่บ้าน แบบการสร้างเศรษฐกิจชุมชนด้วย “ชุมชนคลองพลับพลาโมเดล” ร่วมมือกับ ศอ.บต. ในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนใต้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนในอนาคต
ดร.วรวุฒิ คงศิลป์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารร่วมอาวุโส (Senior Partner) บริษัท วินตัน แอสโซซิเอส จำกัด (อังกฤษ) กล่าวว่า ขอบคุณ มูลนิธิรวมพัฒน์ ที่ได้ให้ความเชื่อมั่นในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนร่วมส่วนทุนที่มีกองย่อยของธุรกิจพัฒนาบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมูบ้าน (Private Fund Feeder to Private Equity Fund for A Sector of Developing Village Network Blockchain)” ถือเป็นโปรเจคที่มีความสำคัญต่อประเทศด้วยวัตกรรมทางเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการเงินถือเป็นสิ่งใหม่ และเป็นมิติใหม่ พร้อมที่จะสร้างสภาพคล่องในเศรษฐกิจระดับฐานรากหรือระดับหมู่บ้านได้ ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะภาพรวมของประทศที่มูลนิธิรวมพัฒน์ได้มองถึงโอกาส ความสำเร็จของการพัฒนาระดับหมู่บ้าน สู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน จากเม็ดเงินหมุนเวียนระหว่างเครือข่ายหมู่บ้าน สู่ภาพใหญ่เศรษฐกิจของประเทศ
Mr. David Gibson Moore ประธานกรรมการบริหาร บลจ.เรนเนสซานซ์ กล่าวว่า กองทุนร่วมส่วนทุน (Private Equity Fund) ที่จัดตั้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ มีความร่วมมือกับ บริษัท วินตัน แอสโซซิเอส จำกัด (Winton Associates Ltd., UK Co Advisor) จากประเทศอังกฤษ โดยมี ดร.วรวุฒิ คงศิลป์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารร่วมอาวุโส (Senior Partner) ร่วมกับ Private Regulator ได้แก่ UK-Nominated Advisor, or NOMAD, Singapore Sponsor etc. ในตลาดเติบโต (Growth Market) เป็นผู้สนับสนุนและอนุมัติ (Private Regulator) บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (International Stock Exchange) ได้แก่ Alternative Investment Market (AIM) ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) ประเทศอังกฤษ Catalist ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange) ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยการ IPO ที่เร็วที่สุดในโลกประมาณ 4-9 เดือน ประกอบด้วยกองทุน Private Equity Fund มีนโยบายการลงทุนบริษัทที่ทำธุรกิจใน ASEAN รวมทั้งประเทศไทย และอยู่ระหว่างเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์นานาชาติหลากหลายอุตสาหกรรมแบ่งเป็นกองย่อย (Sub Feeder) ได้แก่ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การแพทย์ รวมถึงบริษัทอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาบล็อกเชน ตัวอย่าง บริษัทจากประเทศไทยที่มีการจัดตั้งบริษัทแม่ Holding ในต่างประเทศเพื่อการ IPO ได้รับอนุมัติจาก Private Regulator ดังกล่าว พร้อมสำหรับการลงทุน PRE IPO ของ Private Equity Fund เช่น บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ฟายโฮมดีเวล และบริษัท มายโฮม ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด โดย นายมลฑล ณ นคร กรรมการผู้จัดการ
นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า ความร่วมมือในวันนี้ถือเป็นการเดินตามแผนงานเข้าใกล้เป้าหมายอีกขั้น ด้วยปัจจุบันสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจระดับฐานราก ระดับหมู่บ้านนั้นหายไปจากระบบทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศต้องพบกับความเดือนร้อนในการทำมาหากินและดำรงชีวิต มูลนิธิรวมพัฒน์ ร่วมกับ บลจ.เรนเนสซานซ์ จัดตั้ง “กองทุนส่วนบุคคลลงทุนในกองทุนร่วมส่วนทุนที่มีกองย่อยของธุรกิจพัฒนาบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมูบ้าน (Private Fund Feeder to Private Equity Fund for A Sector of Developing Village Network Blockchain)” เพื่อใช้เป็นกลไกในการรวบรวมและบริหารจัดการเงินลงทุนมูลค่าขั้นต้นกว่า 5,000 ล้านบาท จากบริษัท ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และสถาบันชั้นนำที่มีความพร้อมและความสนใจในการพัฒนานวัตกรรมบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมู่บ้าน โดยกองทุน Private Equity ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ มีเป้าหมายในการสร้างอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 18 ต่อปี
“สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้หลังจาก 3 ปี (Lock Up Period) โดยผลตอบแทนดังกล่าวจะมาจากนโยบายการลงทุนในบริษัทเอกชนทั้งในไทยและ ASEAN จากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นกองย่อยๆ (Sub Feeder) ได้แก่ Real Estate, Health Care รวมถึงบริษัทอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาบล็อกเชนที่มีศักยภาพในการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ทั้งในไทย หรือตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นระบบเปิดเผยสาธารณะ (Disclosure System) เช่น สิงคโปร์ อังกฤษ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และอเมริกา โดยที่บริษัทเอกชนดังกล่าวยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Privacy Company) ที่ได้รับอนุมัติจาก Private Regulator จากตลาดหลักทรัพย์เติบโต (Growth Market) นานาชาติในประเทศชั้นนำที่พัฒนาแล้ว หรือลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle) ที่จัดตั้งขึ้นโดยผู้จัดการกองทุนของ Private Equity Fund หรือลงทุนในทรัพย์สิน Private Equity อื่นๆ เช่น หน่วยกองทุน Private Equity ที่ซื้อขายในตลาดรอง (Secondary Market) หรือลงทุนใน Private Equity Fund โดยทั้งนี้การลงทุนส่วนหนึ่งจะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการเพิ่มมูลค่าเงินทุน พัฒนา Tokenomic และสร้างระบบนิเวศน์ของนวัตกรรมบล็อกเชนเชื่อมเครือข่ายหมู่บ้าน ให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและฟื้นเศรษฐกิจ คืนคุณภาพชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้ให้ทุกบ้าน ปลุกพลังหมู่บ้านให้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศไทยต่อไป” นายรักษ์พงษ์ กล่าวสรุป