
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัย จัดฉากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนคนเสียชีวิต และมีการแจ้งเคลมเงินประกันภัยจำนวนกว่า 14 ล้านบาท โดยเหตุเกิดที่บ้านนาบัว-เจริญศิลป์ ต.ธาตุ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจสกลนคร ได้จับกุมผู้ต้องหาที่จัดฉากฆาตกรรมอำพราง หนุ่มวัย 32 ปี ทำเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ตกท้ายกระบะ ก่อนที่รถอีก 2 คันขับตามทับร่างเสียชีวิต บริษัทประกันภัยได้พบความผิดปกติจากพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายหรือมีสัญญาณเตือนการเกิดทุจริต หรือฉ้อฉลประกันภัยเกิดขึ้น

ทั้งนี้ การจัดฉากเป็นอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน 3 คัน พบว่ารถดังกล่าวมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวม 28 กรมธรรม์ จากจำนวน 15 บริษัท มีวงเงินความคุ้มครองรวมกว่า 14 ล้านบาท ซึ่งปรากฏเป็นข่าวดังในสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง


สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ภาคธุรกิจประกันภัยพบประเด็นที่เป็นความผิดปกติและพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายฉ้อฉลหรือมีสัญญาณเตือนการเกิดทุจริตฉ้อฉลประกันภัย เริ่มจากเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากทายาทของผู้เสียชีวิตยื่นเอกสารขอเบิกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารผ่านทางบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สาขามุกดาหาร ซึ่งทำหน้าที่รับคำร้องแทนบริษัทประกันภัยต่าง ๆ และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยรถ จำกัด สาขามุกดาหาร จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลรถคันเกิดเหตุ พบว่ามีการเอาประกันภัย โดยมีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับหลายฉบับ จึงได้ทำการบันทึกรับแจ้งเหตุ แต่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรอเอกสารจากผู้เสียหายเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไปจากนั้นได้มีการประสานกับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ ที่มีการรับประกันภัยรถคันดังกล่าวเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบข้อมูลระหว่างกัน

ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันระหว่างบริษัทประกันภัยและบริษัทกลางฯ พบว่า พฤติกรรมดังกล่าวนั้นมีความผิดปกติและอาจเข้าข่ายฉ้อฉล เนื่องจากมีการทำประกันภัยหลายฉบับในระยะเวลาใกล้เคียงกันและก่อนวันเกิดเหตุไม่กี่วัน และมีการยื่นเคลมค่าสินไหมทดแทนหลายในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนด้วย จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบร่วมกัน และประสานงานไปยังสำนักงาน คปภ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดกระบวนการสืบสวน สอบสวนและนำไปสู่การจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดจำนวนหลายรายในข้อหาร่วมกันฆาตกรรมผู้ประสบภัยซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากภาคธุรกิจประกันวินาศภัยไม่พบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในครั้งนี้ จะต้องมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของรถทั้ง 3 คันที่ทำประกันภัยจากทั้งหมด 15 บริษัท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,100,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 22 ฉบับ ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 500,000 บาทต่อฉบับ รวมมูลค่า 11,000,000 บาท 2.กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ จำนวน 6 ฉบับ ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 500,000 บาทต่อฉบับ รวมมูลค่า 3,000,000 บาท 3.การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (ร.ย.01) จำนวน 1 ฉบับ ความคุ้มครอง 100,000 บาทและบริษัทประกันภัยจะต้องดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถโดยเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยและทายาท โดยระยะเวลาของการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ต้องจ่ายภายใน 7 วัน และกรมธรรม์ประกันภัยภาคสมัครใจ ภายใน 15 วันหลังจากได้รับเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์
แต่สำหรับเหตุการณ์นี้ บริษัทประกันภัยมีการเรียกร้องเอกสารเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน และคาดว่าอาจจะเข้าข่ายเป็นการทุจริตฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยอย่างชัดเจน จึงได้ประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีหนังสือแจ้ง คปภ. ให้มีคำสั่งชะลอการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ออกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีที่บริษัทประกันภัยพบว่ามีการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัยเกิดขึ้น เช่น มีผู้เรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้องเป็นการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 108/4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยฉ้อฉล บริษัทไม่ต้องรับผิดสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการฉ้อฉลหรือทุจริต ซึ่งผู้เอาประกันภัยหรือบุคคลที่ทำแทนผู้เอาประกันภัยได้กระทำเพื่อให้ได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และบริษัทประกันภัยอาจใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ทันที โดยไม่คืนเบี้ยประกันภัย

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยพบกรณีการฉ้อฉลประกันภัยและมีการดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายมาแล้ว อาทิ กรณีเสี่ยตัดนิ้วเพื่อเคลมประกันที่โด่งดังในอดีต ซึ่งมีการสืบหาข้อมูลได้ว่าเจ้าตัวมีการวางแผนทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ไว้หลายบริษัท เป็นเงินรวมนับสิบล้านบาท การจัดฉากรถชนกัน หรือการเอาน้ำร้อนลวกขาทั้งสองข้าง เพื่อสร้างเรื่องให้เป็นอุบัติเหตุหวังเงินประกัน เป็นต้น ทั้งนี้ รวมถึงกรณีที่มีกลุ่มคนตระเวนซื้อกรมธรรม์ประกันภัยเป็นจำนวนหลายฉบับจากหลายบริษัท การกระทำในลักษณะนี้ถือว่าไม่ใช่การบริหารความเสี่ยงภัยของตัวเอง แต่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลุ่มคนที่มีความคิดและกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำทุจริตในการฉ้อฉลประกันภัย
สมาคมฯ จึงขอเตือนกลุ่มคนที่กระทำการในลักษณะนี้ว่า การประกันภัยจะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้เอาประกันภัยที่ใช้สิทธิโดยสุจริตเท่านั้น หากพิสูจน์ได้ว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมาทำประกันภัย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและจะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแน่นอน ในกรณีเช่นนี้ขอให้ผู้บริโภคตระหนักว่า “การประกันภัยนั้นเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เครื่องมือในการใช้หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ” ใครมีความเสี่ยงเท่าไหร่ก็ซื้อประกันภัยให้เหมาะสม ครอบคลุมกับความเสี่ยงของตัวเอง การซื้อประกันภัยจำนวนมากแล้วไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบถือเป็นการกระทำที่ทุจริตและเป็นการฉ้อฉลประกันภัย หลักการประกันภัยเป็นการให้ความคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตให้มีหลักประกันช่วยบรรเทาความสูญเสีย ความเสียหายทางการเงินเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับค่าสินไหมทดแทน ใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเองในยามที่ประสบเคราะห์ร้ายให้สามารถดำรงชีวิตต่อได้

ท้ายนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทยขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นพฤติกรรมฉ้อฉล สามารถแจ้งไปยังสมาคมประกันวินาศภัยไทย หรือบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง ใช้ประกันภัยอย่างถูกต้องและสุจริต เพื่อปกป้องสิทธิของตัวท่านเองและรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมฯ พร้อมเดินหน้าสร้างความโปร่งใสในอุตสาหกรรมประกันภัย และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัย พร้อมทั้งให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ประกันภัยอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัยของไทย นายกสมาคมฯ กล่าวทิ้งท้าย